หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท กระดูกเคลื่อนทับเส้น เตือนภัย สัญญาณอันตรายจากร่างกาย เมื่อคุณพบว่าตัวเองมีอาการปวดหลัง บั้นเอว ปวดร้าวลงไปโดยไม่ทราบสาเหตุ มันอาจเป็นสัญญาณอันตรายยิ่งกว่าที่คุณคิด
หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท คืออะไร
สวัสดีค่ะท่านผู้อ่าน ฉบับนี้มีเรื่องมาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับกรณีศึกษาท่านหนึ่งที่มาพบผู้เขียนค่ะ ผู้เขียนเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของเคสนี้แล้วก็รู้สึกตกใจเพราะเพิ่งได้รับคำบอกเล่าเช่นนี้เป็นเคสที่สองติดๆกัน เลยย้อนกลับไปคิดว่าคงมีอีกหลายรายที่อาจประสบปัญหาเหมือนสองท่านนี้ แล้วในที่สุดก็ต้องตัดสินใจเลือกแนวทางการรักษาในแบบที่ตนเองไม่ค่อยอยากทำนัก เพราะไม่รู้ว่ามีทางเลือกอื่น
แต่โชคดีของรายนี้ค่ะที่ญาติเคยมีอาการเหมือนกัน และได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ให้เข้ารับการผ่าตัด แต่หลังจากผ่าตัด อาการที่ เป็นนั้นดีขึ้นอยู่ได้ประมาณ 3-4 เดือนก็กลับมามีอาการเหมือนเดิมอีก ต้องเรียนท่านผู้อ่านนะคะว่าไม่ใช่ทุกรายที่เลือกการผ่าตัดแล้วอาการ จะกลับมาปวดเหมือนเดิม บางรายก็อาการดีขึ้น ทั้งนี้เพราะมีหลายปัจจัยที่อาจทำให้อาการดีขึ้นหรือไม่ก็ได้ และที่สำคัญขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเคสด้วยค่ะว่าจะเลือกดูแลรักษาตัวเองด้วยวิธีใด เคสนี้มีเพื่อนที่มีอาการเหมือนกัน เลือกรักษาด้วยแนวทางธรรมชาติบำบัด ไม่เลือกการผ่าตัด ไม่ชอบทานยา ซึ่งเพื่อนของเคสท่านนี้เป็นคนไข้ของสถาบันอริยะค่ะ ท่านเลือกดูแลด้วยการปรับโครงสร้างร่างกาย จนอาการดีขึ้นตามลำดับ สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้โดยไม่มีความเจ็บปวดกลับมารบกวนอีกเลย การได้เห็นตัวอย่างจากญาติที่เป็นเหมือนตน ทำให้ทั้งสองเคสนี้ เลือกมาปรึกษาผู้เขียน และเมื่อได้ฟังจากประวัติของเคสแล้ว ผู้เขียนจึงอยากบอกต่อให้ท่านได้รับทราบ เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อท่าน และผู้ที่ท่านรู้จัก หรือผู้ที่กำลังมีอาการอยู่ค่ะ
เคสนี้มาด้วยอาการปวดและเสียวที่หลังช่วงบั้นเอว ปวดแบบแปล๊บๆ ทุกครั้งที่มีการขยับตัวเปลี่ยนท่า และที่รุนแรงกว่านั้นคือ ทุกครั้งที่มีการลุกขึ้นยืนจะรู้สึกปวดร้าวไปตามด้านหลังเยื้องไปด้านข้างขาตลอดแนวจนถึงปลายเท้า ร่วมกับมีอาการชาด้วยค่ะ อาการดังกล่าวมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อต้องเดินหรือยืนต่อเนื่องเพียงแค่ 5 – 10 นาทีก็จะรู้สึกปวดมาก และทรงตัวยืนอยู่ไม่ไหวต้องหาที่นั่ง นั่งสักพักใหญ่อาการจึงค่อยดีขึ้นเป็นเช่นนี้มาเกือบเดือนค่ะ เคสบอกว่าไม่ได้มีอุบัติเหตุใดๆ แค่เมื่อยหลังบ่อยครั้ง เมื่อยมาประมาณปีหนึ่งแล้ว แต่เคสเลือกดูแลตนเองด้วยการนวดผ่อนคลาย อาการก็จะหายไป แต่สักสัปดาห์อาการก็จะกลับมาเมื่อยๆ และเริ่มรู้สึกเปลี่ยนเป็นอาการปวด เมื่อต้องนั่ง-ยืนหรือเดินนานๆ เคสต้องนวดบ่อยขึ้น ถี่ขึ้นจนรู้สึกว่าการนวดไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก แต่ก็ยังคงนวดอยู่จนอาการปวดรุนแรงมากขึ้นต่อเนื่องประมาณหนึ่งเดือน
ผู้เขียนได้ซักประวัติเคสเพิ่มเติม ว่าเคยได้รับอุบัติเหตุก่อนหน้าย้อนกลับไปหลายๆ สิปปี มีหรือไม่ เคสบอกว่าได้เคยไปปรึกษาที่รพ.แห่งหนึ่ง เขาแจ้งว่าไม่เกี่ยวกันเลยเพราะมันนานมาแล้ว นั่นคือเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน เคสได้ลื่นล้ม ก้นกระแทก แต่ไม่มีอาการใดๆเลย จึงคาดว่าไม่น่าเกี่ยวและเมื่อ 2 ปีก่อน เคสเล่นกับสุนัข ลื่นล้มก้นกระแทกประมาณ 2 ครั้ง แค่เจ็บเล็กน้อย แต่ไม่ได้มีอาการใดๆ ชัดเจน เคสไม่ทานยา (เพราะไม่นิยมการทานยาค่ะ) ไม่ได้รักษาใดๆ เพราะไม่เจ็บปวด เคสเข้าใจว่าอาการปวดหลังที่เป็นคงไม่เกี่ยวกับที่เคยลื่นหกล้ม จากประวัติตรงนี้สำหรับในทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อ หรือระบบโครงสร้างร่างกายแล้ว ถือเป็นประวัติที่สำคัญมากเลยค่ะ เพราะการที่ร่างกายเกิดแรงกระแทก หรือแรงกระทำหนักๆ ต้องมีความผิดปกติเกิดขึ้นแน่นอน ในทางกายวิภาคศาสตร์แล้วถือว่าเป็นจุดอ่อนของร่างกายของผู้ที่ได้รับแรงกระแทกนั้น ในกรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน การได้รับแรงกระแทกนี้จะสะสมความอ่อนแอของเนื้อเยื่อ ข้อต่อ เส้นเอ็นต่างๆ ของร่างกาย จนถึงวันที่ร่างกายมีปัจจัยอื่นมารุมเร้าจึงจะแสดงอาการ ซึ่งในวันที่เกิดเหตุนั้นร่างกายอาจมีความยืดหยุ่นดีอยู่ ร่างกายจึงสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ แต่แน่นอนว่าตรงจุดนั้นจะเสมือนแผลเป็นที่อาจเกิดความตึงตัวหรือเกิดพังผืด ซึ่งจะแสดงอาการออกมาเมื่อร่างกายไม่สมดุล หรือเมื่ออายุเพิ่มขึ้นพร้อมทั้งมีความเสื่อมเข้ามาร่วมด้วย
เคสนี้ได้รับการตรวจยืนยันจากผล X-Ray พบว่า มีกระดูกเคลื่อน (Spondylolisthesis) กระดูกเคลื่อนมีสองแบบคือ เคลื่อนไปด้านหน้า ซึ่งจะดูเทียบกัน ระหว่างระดับของกระดูกท่อนบน เทียบกับท่อนล่าง เรียกกระดูกสันหลังเคลื่อน (Spondylolisthesis) ส่วนอีกแบบคือ เคลื่อนไปด้านหลัง เรียก Retrolisthesis แบบนี้กระดูกท่อนบนเมื่อเทียบกับท่อนล่างมีการเลื่อนไปด้านหลัง แบบแรกจะพบได้มากกว่าแบบที่สองค่ะ จุดเริ่มต้นที่จะเป็นปัจจัยให้กระดูกสันหลังเคลื่อนมีปัจจัยหลายอย่างด้วยกันค่ะ แล้วจะสรุปให้ฟังภายหลังค่ะ แต่สำหรับเคสนี้ได้รับคำแนะนำให้ผ่าตัดค่ะ เคสนี้ตัดสินใจอยู่นานเกือบเดือน เนื่องจากเคสเองเคยเห็นคนที่ผ่าตัดแล้วอาการไม่ค่อยดีขึ้นชัดเจน บวกกับความกลัวและไม่ชอบแนวทางการรักษาแบบนี้ จึงตัดสินใจเลือก ปรับโครงสร้างร่างกายที่ สถาบันอริยะ เพราะได้รับคำแนะนำจากเพื่อนที่มีอาการคล้ายๆ กัน จึงลองมาปรึกษาผู้เขียนค่ะ จากอาการดังกล่าวและการยืนยันด้วยภาพ X-Ray แล้ววินิจฉัยได้ว่า เป็นหมอนรองกระดูกเคลื่อน อาการสำคัญของผู้ที่เป็นโรคนี้และประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้ฟังเสียงจากร่างกายของแต่ละเคสนั้นจะชัดเจนมาก ว่าอาการจะคล้ายกันมาก
หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท อาการ
สำหรับกรณีศึกษาที่เป็นกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท จากประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้ฟังเสียงจากร่างกายของแต่ละเคสนั้น ชัดเจนมากว่าอาการจะคล้ายๆกันมาก ดังนี้
- ปวดแปล๊บๆ บริเวณบั้นเอวทุกครั้งที่มีการเคลื่อนไหวของร่างกาย เช่น จากท่านอนลุกขึ้นมานั่ง จากท่านั่งลุกขึ้นยืน ท่าบิดตัว ก้มหรือเงยลำตัว ไม่ว่าจะบิดเอียงไปทิศทางไหนก็จะปวดแปล๊บๆ ที่บั้นเอว และส่วนใหญ่จะปวดมากในท่าแอ่นหลัง
- บางเคสหากการเคลื่อนไหวนี้ไปกดเบียดเส้นประสาท หรือทับเส้นประสาท จะมีอาการปวดและ/หรือชาร้าวลงที่สะโพก ชาลงขา หรืออาจถึงฝ่าเท้าและนิ้วเท้า ปลายเท้าจะรู้สึกตื้อๆ
- หากต้องนั่งนานๆ จะปวดหลังมาก
- หากต้องยืนหรือเดินนานๆ อาการปวดจะมากขึ้น อาจรู้สึกล้าๆ ไปที่ขา หรือรู้สึกขาไม่มีแรง ต้องนั่งพักอาการจึงจะดีขึ้น
- จะรู้สึกว่าหลังและขาตึงมากและเมื่อยมากกว่าปกติ ความยืดหยุ่นของหลังและขาลดลง
- อาการปวดจะมากขึ้นหลังการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย โดยเฉพาะการเล่นที่ต้องแอ่นหลัง
- บางเคสหากเป็นมานานแล้วจะสังเกตุได้ชัดเจนว่า สะโพกหรือลำตัว เอียงหรือบิดไปด้านหนึ่ง จนเกิดความไม่สมดุล ทั้งนี้เนื่องจาก การทดแทนของร่างกายที่พยายามทำให้เส้นประสาทถูกกดเบียดน้อยที่สุด จึงทดแทนด้วยการเอียงลำตัวหรือยักสะโพก ฯลฯ
หลังการตรวจโครงสร้างร่างกายของเคสนี้แล้ว ยืนยันได้ชัดเจนว่าเคสเริ่มเป็นมาก่อนหน้าที่อาการจะรุนแรง เพราะสะโพกบิด หลังคด ไหล่งุ้มค่อมมาก ทั้งที่เคสนี้อายุ 51 ปี แต่ดูแล้วจะรู้สึกแก่กว่าอายุมากค่ะ เนื่องจากมีปัญหาโครงสร้างร่างกาย จึงทำให้ร่างกายเปลี่ยนไปมาก เคสเริ่มบ่นว่าช่วงหลังที่อาการเป็นมากๆ จะรู้สึกปวดร้าวสะบัก บ่า และคอ หายใจขัดๆ รู้สึกเหนื่อยๆ และเพลียทั้งร่างกาย ฯลฯ อาการต่างๆ ที่กล่าวมาเกี่ยวข้องกับกระดูกสันหลังเคลื่อนโดยตรงเลยค่ะ เกี่ยวอย่างไรท่านคงเริ่มสงสัยใช่ไหมคะ
อาการที่เคสนี้เป็น เนื่องมาจากระบบโครงสร้างร่างกายที่เปลี่ยนไปจากปกติ การที่ปวดแปล๊บๆ ก็เพราะรอบๆ ข้อต่อกระดูกสันหลัง มีเส้นเอ็นขึงอยู่รอบด้าน เมื่อมีการเคลื่อนก็ทำให้เส้นเอ็นต่างๆ กล้ามเนื้อมัดเล็กที่อยู่ชั้นลึก เยื่อหุ้มเส้นประสาทและเส้นประสาทได้รับการบาดเจ็บ และเนื่องจากเนื้อเยื่อดังกล่าว เป็นเนื้อเยื่อที่ให้ความมั่นคงกับกระดูกสันหลัง เมื่อมีการบาดเจ็บหรือฉีกขาด กระดูกสันหลังจะขาดความมั่นคง การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งจึงกระตุ้นให้มีอาการเสียวแปล๊บๆ
อาการปวดร้าวไปที่ขาเกิดจากเส้นประสาทใหญ่ที่ไปเลี้ยงขา (Sciatic nerve) ถูกกด เกิดการเกร็งร้าวไปตามแนวเส้นประสาทนั้น กล้ามเนื้อที่เส้นประสาทวิ่งผ่านก็เกร็งตัวมากกว่าปกติ จึงทำให้รู้สึกตึงและล้าขามาก การที่เส้นประสาทเป็นตัวนำคำสั่งให้กล้ามเนื้อทำงาน และรับรู้ความรู้สึกต่างๆได้ ดังนั้นเมื่อเส้นประสาทถูกกดทับจึงทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงลง การรับรู้ถูกบล็อกเอาไว้ ทำให้รู้สึกชาๆ ตื้อๆ จากการที่เส้นประสาทถูกกดทับนี้เองค่ะ
เคสนี้นอกจากจะมีอาการที่หลังและขาแล้ว ยังมีอาการปวดสะบัก ปวดบ่า ปวดคอร้าวขึ้นศีรษะ บวกกับหายใจขัดๆ ด้วย สงสัยไหมคะว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไร? ด้วยความที่เคสนี้ปวดทรมานติดต่อเป็นเดือน จึงขยันและตั้งใจปฏิบัติตัวได้ดีมาก อาการต่างๆ บรรเทาลงมากกว่า 50 % ในการรักษาเพียง 3 ครั้งแรก ฟังดูไม่น่าเชื่อนะคะ แต่ก็ต้องเชื่อค่ะ เพราะโครงสร้างร่างกายของคนเราทรงอยู่ได้ด้วยกล้ามเนื้อ หากกล้ามเนื้อสมดุลและแข็งแรง ทุกระบบก็ทำงานได้ดีตามมาค่ะ
ทำไมเคสนี้ดีขี้นเร็วจัง ? อันนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างค่ะ ถึงแม้เคสนี้จะเป็นหนัก แต่ผู้เขียนก็อยากเล่าให้ฟังว่า เคสนี้มีความทุกข์ทรมานในสิ่งที่เป็นเหลือเกิน ท้อแท้กับอาการที่เป็นมานาน ในทางธรรมชาติบำบัดถือเป็นสิ่งดีนะคะ เพราะการมีอาการและการรับรู้ถือว่าสัญญาณเตือนของร่างกายยังชัดเจนดีค่ะ จะได้หาทางแก้ไขได้ถูก เมื่อเคสนี้ได้รับการอธิบายถึงต้นตอของสิ่งที่ทำให้เจ็บปวดว่ามาจากไหน กลไกลที่จะทำให้ดีขึ้นเป็นอย่างไร? การคุมท่าทางพฤติกรรมในชีวิตประจำวันควรเปลี่ยนแปลงเช่นไร? เคสปฏิบัติตาม และตระหนักถึงความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เคสทำตามที่สถาบันอริยะ วางแผนการดูแลรักษาอย่างมีวินัย จึงดีขึ้นชัดเจนอย่างรวดเร็วค่ะ เมื่อคนเรายอมรับความจริงที่เกิดขึ้นกับร่างกาย รู้กลไกลการเกิดความเจ็บปวด รู้จักโครงสร้างร่างกายตนเอง แนวทางที่จะดูแลตนเองก็ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ
ป้องกัน กระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท
แล้วอาการของเคสดังกล่าวนี้ ดีขึ้นรวดเร็วเพราะเหตุใด และอาการอื่นๆที่ตามมานั้นเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร รวมถึงมาทราบกันว่าปัจจัยใดที่ทำให้เป็นโรคกระดูกสันหลังเคลื่อน เพราะเมื่อทราบแล้วจะได้ปฏิบัติตนเพื่อการป้องกันไม่ให้เป็น ดีกว่าต้องเสียเวลาในการรักษาความเจ็บปวด “กันไว้ดีกว่าแก้ แย่แล้วจะแก้ไม่ทันนะคะ”
ที่จริงแล้วมีหลายเคสที่บ่นว่า ทุกครั้งเมื่ออาการของหลังและขารุนแรงขึ้นก็จะรู้สึกปวดจี๊ดๆ ที่สะบัก บ่า และคอ บางครั้งมีร้าวขึ้นศีรษะเมื่อสอบถามต่อว่า อาการดังกล่าวเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหลังและขา ตอนที่มีอาการปวดมากๆใช่หรือเปล่า เคสตอบชัดเจนว่า “ใช่” ในกรณีนี้ ถ้าความปวดที่คอ บ่า สะบักนั้น แปรผันโดยตรงกับอาการปวดหลัง นั่นคือเมื่อใดก็ตามที่ปวดหลังและขามากๆ จะรู้สึกปวดจี๊ดขึ้นมาที่สะบักและคอ นั่นแปลว่าอาการปวดที่เกิดขึ้นมีผลต่อกันโดยตรง มีผลอย่างไรบ้าง?
ถ้าเราแบ่งความเกี่ยวข้องจากชั้นนอกสุดของร่างกายเข้าไปถึงชั้นลึกสุด ส่วนต่างๆ มีผลเชื่อมโยงกันดังนี้ค่ะเยื่อหุ้มกล้ามเนื้อ ( Myofascial ) เป็นเยื่อพังผืดบางๆ ที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนัง เป็นเสมือนผ้าผืนใหญ่ที่หุ้มกล้ามเนื้อทั้งร่างกายไว้ ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เยื่อหุ้มนี้เมื่อเกิดแรงตึงตัวที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง จะส่งแรงตึงตัวไปถึงส่วนอื่นๆ ได้ทั้งร่างกาย
- กล้ามเนื้อ (Muscle) เป็นเนื้อเยื่อสำคัญมากในระบบโครงสร้างร่างกาย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อมัดลึก ที่เป็นเสมือนเชือกคอยพยุงให้แนวกระดูกสันหลังเรียงตัวอยู่ในแนวความโค้งที่สมดุลและมั่นคง กล้ามเนื้อมัดลึกนี้มีลักษณะเรียงเป็นเส้นใยเล็กๆ ขนาบข้างๆ ตลอดแนวกระดูกสันหลัง เกาะจากก้นกบ ขอบกระดูกเชิงกราน โยงยาวไปเกาะที่กระดูกสะบัก กระดูกต้นคอจนถึงกระดูกท้ายทอย จึงทำให้เมื่อมีอาการปวดหลัง ก็จะทำให้ปวดร้าวตามแนวกล้ามเนื้อมัดนั้นๆ ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อมัดเดียวกันตลอดแนว ความปวดจึงอาจเกิดได้ตั้งแต่ขาไปจนถึงท้ายทอย ถ้ากล้ามเนื้อตึงมากๆ
- ระบบการไหลเวียน เลือด และเส้นประสาท (Circulatory system) เส้นประสาทและหลอดเลือดเป็นท่อที่แทงผ่านมัดกล้ามเนื้อไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เมื่อมีการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อหรือมีพังผืดยึดรั้ง จึงจำกัดการไหลเวียนของเลือดและเส้นประสาท ทำให้มีอาการปวดร้าวส่วนต่างๆ ตามแนวที่เส้นประสาทไปเลี้ยง โดยเฉพาะช่วงท้ายทอย เมื่อกล้ามเนื้อมีการเกร็งจึงทำให้มีอาการปวดร้าวไปตามท้ายทอย กระบอกตา หรือขมับก็เป็นได้ อีกประการหนึ่งเวลาที่มีความตึงตัวของบ่า สะบัก และคอมากๆ อาจจะรู้สึกมึนๆ อึนๆศีรษะเพราะการไหลเวียนของเลือดไม่ดี หลอดเลือดที่ผ่านไปสมองนั้นผ่านแนวกล้ามเนื้อกระดูกคอ หากกล้ามเนื้อไม่มีความยืดหยุ่นก็เป็นสาเหตุให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ไม่ดี จึงรู้สึกปวดหัว เป็นต้น
- เส้นเอ็น (Posterior –Anterior Longitudinal ligament) จะวางทอดยาวตลอดแนวกระดูกสันหลังตั้งแต่กะโหลกศีรษะไปจนถึงก้นกบ จะวางขนาบเพื่อปกป้องไขสันหลังทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เส้นเอ็นมีความเหนียวมั่นคงและทนทานมาก หากมีการยึดรั้งก็จะเป็น เช่นเดียวกันคือทำให้มีอาการตึงรั้งกระทบถึงกันได้ตลอดทั้งแนว
- เยื่อหุ้มสมอง เยื่อหุ้มไขสันหลัง (Dura Mater) มีหลายชั้นด้วยกัน ส่วน Dura Matter เป็นเยื่อหุ้มชั้นนอกสุด ซึ่งเป็นเยื่อที่หุ้มกะโหลกศีรษะ หุ้มสมองและหุ้มต่อตลอดแนวไขสันหลังและเป็นความเชื่อมโยงไปถึงเส้นประสาทด้วย หากมีการบาดเจ็บส่วนใด ก็ตาม แม้กระทบแค่เพียงเล็กน้อยของเส้นประสาทส่วนปลาย ก็อาจส่งผลทำให้ตึงตัว ร้าวไปตลอดแนวของเยื่อหุ้ม จนส่งไปถึงใน เยื่อสมองได้
จากความเชื่อมโยงดังที่กล่าวมาท่านคงได้คำตอบชัดเจนว่าทำไม? เคสนี้มีปัญหาที่หลัง เส้นประสาทหลังถูกรบกวน กระดูกเคลื่อน หมอนรองกระดูกแคบ ถึงส่งผลยาวไปสะบัก คอ และที่ศีรษะได้ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ท่านที่มีอาการมานาน และรู้สึกอาการต่างๆ ลุกลาม จะได้ทราบว่าเพราะเหตุใด เพื่อเป็นแนวทางในการนำไปพิจารณาว่าควรจะต้องดูแลตนเองอย่างไรต่อไป
ปัจจัยใดบ้างที่จะทำให้กระดูกสันหลังเคลื่อนได้ เรามาดูกันค่ะ
- อุบัติเหตุล้มก้นกระแทก การล้มจะทำให้เกิดแรงกระทำต่อหลังช่วงล่างโดยเฉพาะกระดูกสันหลังชิ้นที่ 5 ต่อกับกระดูกกระเบนเหน็บชิ้นที่ 1 หรือกระดูกหลังชิ้นที่ 5 ต่อกับชิ้นที่ 4 ซึ่งเป็นส่วนที่โค้งที่สุดของหลัง ถือเป็นจุดอ่อนของร่างกาย ที่ทำให้เกิดความผิดปกติได้ง่ายกว่าส่วนอื่นๆ ค่ะ
- ยกของหนัก ยกด้วยความเร็วและเป็นแรงกระชาก ยิ่งถ้าร่วมกับกระดูกสันหลังไม่มั่นคง จะทำให้กระดูกเคลื่อนได้
- ถูกกระแทกอย่างรุนแรงที่หลัง
- อ้วนหลังแอ่นมาเป็นเวลานาน ปวดหลังเรื้อรังนาน
- การเอี้ยวหรือบิดตัวพร้อมเกิดการกระชาก หรือออกแรงลำตัวหรือแขน
- มีภาวะกระดูกบางหรือกระดูกเสื่อม จนทำให้เกิดการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อที่ให้ความมั่นคงกับหลัง นานเข้าก็ทำให้กระดูกเคลื่อนได้ ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ถือเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการเคลื่อนของกระดูกสันหลังได้ทั้งสิ้น สังเกตไหมคะว่า ปัจจัยที่จะเป็นเหตุให้กระดูกสันหลังเคลื่อนมาจากกระดูกสันหลังไม่มีความมั่นคง นั่นเพราะกล้ามเนื้อที่พยุงหลังไว้อ่อนกำลังนั่นเองค่ะและการที่กล้ามเนื้ออ่อนแรงก็มาจากโครงสร้างร่างกายที่เปลี่ยนไป เพราะดูแลไม่ถูกต้อง ไม่ได้ป้องกันตัวเอง ซึ่งอาจเกิดจากความไม่รู้ก็เป็นได้ ท่านจะทราบว่าเสี่ยงเป็นกระดูกเคลื่อนหรือไม่ อย่างน้อยที่สุดหากมีอาการปวดเมื่อยหลังบ่อยๆ หรือเรื้อรัง อาจเป็นสัญญาณเตือนบอกเหตุบางประการในร่างกายก็เป็นได้นะคะ หรือแม้ไม่มีอาการอะไร ก็ควรลองมาตรวจโครงสร้างร่างกายประจำปี เพื่อดูศักยภาพของร่างกาย ดูปัจจัยเสี่ยงว่าแนวโน้มอาจเสี่ยงเป็นโรคอะไรบ้าง เพื่อจะได้ป้องกันได้ทันค่ะ
สุดท้าย ผู้เขียนมีเคล็ดลับง่ายๆ มากระซิบบอกค่ะ เพื่อป้องกันตัวเองไว้จากโรคนี้ การแขม่วท้องเบาๆ ในทุกอิริยาบถ ก็ถือเป็นการฝึกให้หลังมั่นคงได้ ง่ายนิดเดียวเองค่ะ แต่ต้องทำให้สม่ำเสมอ จนทรงอยู่ในท่าแขม่วท้องได้อัตโนมัติ อันนี้ถือว่าป้องกันตัวเองได้ระดับหนึ่งค่ะ แล้วพบกันฉบับหน้านะคะว่าร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนอะไร สวัสดีค่ะ
หากสนใจบริการของเรา สามารถคลิกได้ที่ ariyawellness.com/services/
ช่องทางติดต่อ Inbox ทางเพจ Facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/ariyawellnesscenter