ปวดคอ บ่า สะบัก ปวดร้าวชาลงแขน เกิดจากอะไร หากไม่คอยดูแล สำรวจอาการเหล่านี้ให้ดี มันอาจกลายเป็นภัยเงียบและอันตรายเรื้อรังต่อร่างกายอย่างคาดไม่ถึงเลยค่ะ ดังนั้นวันนี้เรามารู้จักอาการปวดคอ บ่า สะบัก ร่วมกับอาการร้าวลงแขน ชามือ มืออ่อนแรงว่ามาจากสาเหตุใด เพื่ออย่างน้อยที่สุดเวลาที่ท่านมีอาการปวด ชา หรืออาการอ่อนแรง จะได้พิจารณาตัวเองว่าควรจะรักษาเช่นไรให้ถูกทาง
ปวดคอ บ่า สาเหตุจากอะไร
สำหรับอาการดังกล่าว เราต้องทราบถึงสาเหตุหรือที่มาของอาการ รวมถึงเข้าใจลักษณะของร่างกายเราก่อน เนื่องจากว่าตรงบริเวณ คอ บ่า สะบัก และแขนของเรานั้น มีสิ่งใดที่เกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกันอยู่ ซึ่งตรงนี้เชื่อว่าหลายคนทราบดีอยู่แล้วว่าคอของคนเรานั้น เป็นบริเวณที่ควรมีการระมัดระวังอย่างยิ่งยวดเนื่องจากเป็นส่วนของร่างกายที่รวมเส้นประสาทเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองแล้ว ยังมีส่วนที่โยงยาวไปเลี้ยงกล้ามเนื้อและข้อต่อตลอดสะบักและแขน ทั้งยังช่วยในการนำคำสั่งจากสมองเพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหว(motor nerves ) เป็นส่วนที่นำคำสั่งสู่สมองให้ได้รับรู้ความรู้สึกเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ต่างๆด้วย (sensory nerves)
ตลอดเส้นทางผ่านของเส้นประสาทนั้นยังมีกล้ามเนื้อบริเวณไหล่ และข้อศอก ที่เป็นทางลอดผ่านของเส้นประสาทเหล่านี้ หากกล้ามเนื้อมัดเหล่านี้มีปัญหาก็เป็นเหตุให้เกิดอาการดังที่กล่าวข้างต้นได้เช่นเดียวกัน ซึ่งเวลามีอาการปวดหรือชา เรามักเหมารวมว่าอาจจะเป็นคอเสื่อม มีกระดูกงอก ทำให้มีอาการปวดคอร้าวลงแขน ทำให้มือชา แต่ความเป็นจริงแล้วอาการที่ดูคล้ายกัน ในทางคลินิกเฉพาะทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อนั้น มีวิธีทดสอบเพื่อเป็นการยืนยันว่าอาการที่เป็นนั้นมีสาเหตุมาจากส่วนใด ถือเป็นความสำคัญอย่างมากในการรักษาที่จะต้องประเมินเพื่อหาต้นตอให้พบ เพราะถ้าวิเคราะห์หาต้นเหตุไม่ถูก แม้จะรักษาให้ดีอย่างไร ก็ไม่ทำให้อาการหายขาดได้ แต่ถ้าวิเคราะห์หาสาเหตุได้ถูก การรักษาก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะ
ปวดคอ บ่า สะบัก อาการ
สำหรับอาการปวดคอ บ่า และ สะบัก จนถึงขั้นร้าวลงแขนนั้น ท่านผู้อ่านทราบไหมคะว่าแท้จริงแล้วปัจจัยที่ส่งเสริมให้มีอาการนั้นมาจากตัวเราทั้งสิ้น ไม่ว่าจะอาการปวดคอ คอเสื่อม ปวดบ่า สะบัก ปวดหรือชาร้าวลงแขน มืออ่อนแรง ฯลฯ โดยธรรมชาติของมนุษย์เรามีความสมดุลแข็งแรงมาแต่กำเนิดอยู่แล้ว เแต่การใช้งานในอิริยาบถและพฤติกรรมต่างๆ ในชีวิตมักใช้ท่าทางที่เอาสบายเป็นหลัก ไม่ทราบว่าท่าทางที่ถูกต้องเป็นเช่นไร ? ท่าทางไหนจะทำให้ร่างกายเสื่อมก่อนวัยอันควร กว่าจะทราบก็มักมีอาการหรือมีความเจ็บปวดเกิดขึ้นกับร่างกายไปแล้ว แล้วบางทีก็อาจไม่มีโอกาสทราบถ้ารักษาผิดจากต้นเหตุ บางรายพึ่งเริ่มต้นเป็นก็รักษาได้ง่าย แต่บางรายเป็นมาหลายๆปี ก็อาจต้องใช้เวลาในการรักษากันนานพอควรค่ะ ที่บอกว่าอาการเหล่านี้มักมาจากท่าทางของเราเอง ท่าทางที่พูดถึงนี้เป็นท่าทางที่เราคิดว่าเป็นท่าปกติ แต่…เป็นท่าที่ผิดปกติต่อโครงสร้างร่างกายของเราค่ะ จะขอยกตัวอย่างเป็นข้อๆให้เข้าใจกันมากขึ้นนะคะ
• การนั่งก้มคอ ห่อไหล่ หลังงุ้ม กอดอก นับว่าเป็นหนึ่งในท่าที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องปกติใครๆก็นั่งกัน แล้วยิ่งการใช้งานสมาร์ทโฟน การนั่งจ้องนานๆ การใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีในยุคนี้นี้ ก็ยิ่งเป็นการทำให้เราหลายคนต้องนั่งอยู่ในท่านี้เป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน แทปเลต คอมพิวเตอร์ ฯลฯ
แต่ท่านรู้ไหมว่าการนั่งท่านี้เป็นท่าที่ บั่นทอนร่างกายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นหรือวัยไหนๆ ก็ติดสมาร์ทโฟน โดยอาจเป็นการเล่น หรือเป็นการใช้ทำงาน แต่จากสถิติคนไข้ที่มาด้วยอาการปวด ปัจจัยที่ทำให้เกิดความปวดมากกว่า 50 % มักมาจากท่าทางการเล่นสมาร์ทโฟนนี่เองค่ะ ท่าทางนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง
กล้ามเนื้อที่มีผลมากคือ กล้ามเนื้อที่ใช้ในการก้มและการหันคอ(anterior scalene muscle) ปกติกล้ามเนื้อมัดนี้จะเหมือนเชือกที่ขึงจากกระดูกคอด้านหน้าแล้วโยงไปเกาะที่ซี่โครงด้านหน้าชิ้นที่ 1 จากท่าทางดังกล่าว กล้ามเนื้อมัดนี้จะเกร็งตัวมากกว่าปกติ และที่สำคัญเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อแขนก็ลอดผ่านกล้ามเนื้อมัดนี้ เมื่อเกร็งตัวมากๆ คอก็จะลากดึงลง ทำให้รู้สึกเมื่อยล้าที่คอ ปวดคอ หายใจไม่อิ่ม เนื่องจากกล้ามเนื้อมัดนี้เป็นกล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจเข้าด้วย จากการเกร็งตัวมากๆก็อาจทำให้ไปบีบรัดเส้นประสาทและเกิดอาการชา ปวด ร้าวลงแขน ร่วมกับอาการอ่อนแรงได้ อีกมัดกล้ามเนื้อคือ กล้ามเนื้อหน้าอกมัดลึก (Pectoralis minor muscle) เป็นมัดที่เกาะจากชายโครงด้านหน้าชิ้นที่ 3, 4, 5 แล้วโยงไปเกาะที่ปุ่มกระดูกส่วนหน้าของกระดูกสะบัก (Coracoid process of scapular) กล้ามเนื้อมัดนี้จะมีเส้นประสาททั้งหมดที่ไปเลี้ยงแขนลอดผ่าน หากเกร็งมากๆ ก็มักมีอาการคล้ายๆกันกับที่กล่าวข้างต้นเช่นเดียวกัน
• การใช้มือพิมพ์งาน หรือใช้เมาส์ ใช้เซ็นหรือเขียนหนังสือต่างๆ หากการใช้งานของแขนหรือมือต่อเนื่องเป็นเวลานานก็มักมีผลต่อกล้ามเนื้อที่ใช้ในการคว่ำมือเช่นเดียวกัน (Pronator teres / Pronator quadratus muscle) คือกล้ามเนื้อสองมัดนี้จะเกร็งค้างอยู่ตลอดเวลาซึ่งก็มีผลทำให้ปวดข้อศอก หรือข้อมือ อาจมีอาการชาร้าวไปที่มือ หรือนิ้ว มือไม่มีแรง นิ้วล็อค ฯลฯ
อิริยาบถที่กล่าวข้างต้นนั้น เป็นอิริยาบถที่เลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ทำ แต่เราสามารถที่จะฝึกร่างกายให้อยู่ในท่าที่ถูกต้องหรือพักส่วนที่ต้องใช้หนักๆ ไว้ เช่นเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง ยืดเหยียดกล้ามเนื้อแขน หรือไหล่หากต้องนั่งค่อมหลังหรือพิมพ์งานต่อเนื่องนานๆ อาจทำทุกๆชั่วโมง ชั่วโมงละ 3-4 ครั้งเพียงเท่านี้ก็พอสำหรับการปรับให้ร่างกายสามารถใช้งานต่อโดยไม่ต้องล้ามากจนกลายเป็นความเจ็บปวด แต่หากอาการต่างๆ ที่เป็นไม่ใช่พึ่งเริ่ม แต่เป็นอาการที่สะสมมานาน จนก่อความรำคาญให้เกิดขึ้นที่จิตใจของท่านก็ไม่ควรปล่อยเอาไว้ เพราะยิ่งปล่อยไว้นานการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น หรือเส้นประสาทก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นไปเรื่อยๆ
จากที่กล่าวถึงต้นตอของอาการต่างๆ นั้น เรื่องที่น่าสนใจอีกประการคือ ไม่ว่าต้นเหตุจะมาจากกล้ามเนื้อส่วนปลายของแขน หรืออาจเป็นกล้ามเนื้อส่วนอก หรือส่วนคอ แต่สิ่งที่ถูกกระทบไปด้วยนั่นคือ ส่วนกลาง – เสาหลักของร่างกาย คือกระดูกสันหลังนั่นเอง เมื่อมีปัญหาที่กล่าวมามักเจอว่าเคสมักมีความไม่สมดุลเกิดขึ้นที่แนวกระดูกสันหลังด้วย ไม่ว่าจะเป็นข้อต่อกระดูกหลังติดยึด กล้ามเนื้อที่ใช้ในการทรงกระดูกให้มั่นคงอ่อนแรง หรือแม้แต่การไหลเวียนส่วนรากประสาทถูกจำกัดลง ฯลฯทั้งนี้ จุดรากของเส้นประสาทมาจากหลัง จุดเกาะของกล้ามเนื้อแต่ละส่วนมีเยื่อหุ้มอันเดียวกันคือเชื่อมโยงไปที่กระดูกสันหลัง ในการรักษาจึงจำเป็นมากที่จะต้องปรับให้แนวกระดูกสันหลังมั่นคง สมดุลและแข็งแรงด้วย
เป็นอย่างไรบ้างคะท่านผู้อ่าน บางทีเสียงบอกเล่าของร่างกายคนเราดูเหมือนจะไม่ซับซ้อน แต่หากเราไม่สังเกต ให้ชัดเจนเราก็ไม่อาจทราบได้ว่าเขาต้องการส่งสัญญาณบอกอะไรเราอยู่ สำหรับท่านผู้อ่านที่มีอาการอยู่คงพอชัดเจนขึ้น กับอาการของตนเองนะคะ จะได้พิจารณาว่าควรจะต้องดูแลตัวเองเช่นไรแต่เนิ่น ไม่ส่งเสริมให้ร่างกายตนต้องเสื่อมก่อนวัย เพราะหากเป็นเช่นนั้นท่านอาจต้องเป็นภาระอันหนักของผู้อื่น แล้วพบกันฉบับหน้าค่ะ
หากสนใจบริการของเรา สามารถคลิกได้ที่ ariyawellness.com/services/
ช่องทางติดต่อ Inbox ทางเพจ Facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/ariyawellnesscenter