ทุกคนเกิดมาเพื่อใช้ร่างกาย – จิตใจนี้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด และการใช้ร่างกาย – จิตใจของคนเรานี่เองที่เป็นปัจจัยหลักบั่นทอน ให้เกิดความเสื่อมต่อร่างกายเร็วขึ้น จนทำให้เกิดความเจ็บไข้ได้ป่วยและเป็นโรคร้ายได้ในที่สุด จากพฤติกรรมความเป็นอยู่และการใช้ร่างกายของเรานั่นเอง
ตลอด 24 ชั่วโมงของการใช้ร่างกายคนเรา หนีไม่พ้นอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน และอิริยาบถเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยหนึ่ง ที่ก่อให้เกิดโรคได้ การใช้งานของร่างกาย ถ้าใช้หนักเกินไปก็ช้ำ ใช้น้อยเกินไปก็เฉา จึงต้องใช้ให้สมดุลการใช้ร่างกายไม่สมดุล ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การเล่นกีฬา การออกกำลังกาย การอยู่ในท่าทางใดท่าทางหนึ่งต่อเนื่องนานโดยไม่สามารถเลี่ยงได้เหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างร่างกายทั้งสิ้น และหากเป็นท่าทางที่ผิด ร่างกายก็ยิ่งถูกบั่นทอนมากขึ้นหลายเท่า
สถาบันอริยะ ขอให้ท่านได้ตระหนักถึงความสำคัญ ได้เห็นคุณค่าของร่างกายที่ท่านใช้อยู่จะได้พึงระวัง คุ้มครองรักษาร่างกายนี้ เพื่อให้ห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บ ดีกว่าต้องรอให้เป็น “โรค” เพราะหากเป็นโรคแล้ว ไม่มีทางที่จะทำให้ร่างกายกลับมาทำงานได้เป็นปกติ 100% เพราะเมื่อเป็นโรค ร่างกายจะไม่สามารถเยียวยาหรือฟื้นฟูตัวเองได้ แต่หากเราป้องกันเริ่มต้นด้วยพื้นฐานของการมีโครงสร้าง ร่างกายที่สมดุล ก็ถือเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งที่จะทำให้ร่างกายเสมือนมีภูมิต้านทานป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้ด้วยตัวเอง
รู้จักโครงสร้างร่างกายกันก่อน
หลายท่านคิดว่าโครงสร้างร่างกาย คือกระดูกอย่างเดียว แต่ในทางกายวิภาคศาสตร์ โครงสร้างร่างกายประกอบด้วย กระดูก กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ข้อต่อ ระบบไหลเวียน ( เลือด น้ำเหลือง เส้นประสาท ) ทั้งระบบนี้ความสำคัญอยู่ตรงแนวกระดูกสันหลังที่สมดุล และกระดูกจะสมดุลได้ต้องอยู่ภายใต้ระบบกล้ามเนื้อที่แข็งแรงสมดุลด้วยเช่นกัน ภายใต้เส้นใย กล้ามเนื้อ จะมีเส้นประสาทซึ่งเป็นเสมือนถนนนำทางให้สมองสั่งการไปสู่ทุกส่วนในร่างกาย เป็นทางผ่านของเลือด น้ำเหลืองเป็นแหล่งลำเลียงอาหารและขับของเสียออกจากร่างกาย
หากระบบเหล่านี้ไม่สามารถทำงานได้เป็นปกติจะกระทบต่อเซลล์ในร่างกายและอวัยวะต่างๆโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นปอด หัวใจ การย่อย การไหลเวียน ฯลฯ ซึ่งถ้าอวัยวะเหล่านี้ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ร่างกายก็ไม่สามารถต้านทานโรคภัยต่างๆ ที่เข้ามารุกรานได้ ดังนั้นคงเป็นเรื่องดีที่เราจะสามารถกำหนดสุขภาพดีได้ด้วยตัวเรา อันดับแรกเริ่มจากการเรียนรู้เพื่อให้ร่างกายอยู่ในท่าทางที่ถูกต้องเพราะถ้าไม่ถูกต้องเหมาะสม ก็เป็นที่มาของความไม่สมดุลของโครงสร้างร่างกาย และทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ในที่สุด จึงขอให้ท่านได้ตระหนักถึงความสำคัญของอิริยาบถใหญ่ทั้งสี่ดังนี้
การเดิน
หากเราไม่ทันสังเกตคงไม่รู้ว่าการเดินของเราผิดปกติอย่างไร เพราะเดินเหินได้ก็ไม่น่าจะผิดปกติ แต่เมื่อการก้าวเดิน เป็นการเดินแบบใช้ข้อต่อกระแทกลงทุกครั้งที่ลงน้ำหนักที่เท้า ก็มักจะทำให้มีปัญหาปวดข้อเท้า ปวดเข่า ปวดหลัง บางรายถึงกับปวดคอ ซึ่งต้นเหตุอาจมาจากการเดินลงน้ำหนักไม่เท่ากันก็เป็นได้ การที่เข่าบิดทุกครั้งที่เดินจะทำให้น้ำหนัก กระแทกลงที่ข้อเข่ามากเป็นเท่าตัว สังเกตง่ายๆ คนที่เดินขาบิดเหมือนเป็ด เดินกางขามากไป สะโพกยักหรือบิดเวลาเดิน เดินเหมือนขาไม่เท่ากัน เหล่านี้เกิดจากการไม่ได้ฝึกร่างกายให้ใช้งานกล้ามเนื้อได้ถูกต้อง จึงเกิดผลเสียทำให้ข้อต่อทำงานหนักมากกว่าปกติ เป็นต้นเหตุความไม่สมดุลของโครงสร้างร่างกาย ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นพิการได้
การยืน
ท่านเคยสังเกตตัวเองหรือไม่ว่ายืนอย่างไร ? ยืนกอดอก ? ยืนแอ่นพุง ? ยืนพักขา ? ยืนพิงผนังหรือพิงเสา ? เข่าแอ่น ใส่ส้นสูง เข่าติดกันเวลายืน ฯลฯ แล้วท่านสังเกตหรือไม่ว่าทุกครั้งที่ยืนก็จะอยู่ในท่านี้เสมอ ด้วยความเคยชินนี่เองเป็นที่มาของการเสียศูนย์ของร่างกาย ทำให้กระดูกบิดเบี้ยว ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อไม่สมดุล ( กล้ามเนื้อมีหน้าที่ทรงให้กระดูกอยู่ในแนวความโค้งที่เหมาะสม ) เมื่อกล้ามเนื้อเคยชินอยู่ในท่าที่ผิดนานเข้า ก็ทำให้กล้ามเนื้อหดสั้นหรือยืดมากกว่าปกติ จึงดึงให้กระดูกบิดเบี้ยวไปด้วย จนเป็นกระดูกสันหลังคด หลังค่อม หลังแอ่น เป็นต้นเหตุของการปวดเมื่อยที่รักษาไม่หายขาด เพราะมัวไปแก้ที่อาการ ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุคือ การปรับโครงสร้างร่างกายให้สมดุล ทำให้ระบบในร่างกายแข็งแรง ทำงานดี อาการปวดจะหายไปเอง โดยไม่กลับมาเป็นอีกเพราะการปรับโครงสร้างร่างกายไม่เพียงปรับให้สมดุลหรือทำให้หายปวดเท่านั้น แต่หมายรวมถึงการทำให้ร่างกายของแต่ละคนแข็งแรงทนทาน เพียงพอต่อการใช้งานโดยไม่มีอาการ
การนั่ง
คนทำงาน 90% มักประสบปัญหาปวดเมื่อยเรื้อรัง หรือเป็นโรคทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อมากกว่าวัยอื่น ทั้งนี้เป็นผลจากการใช้งานของร่างกายที่ต้องทำงานอยู่ในท่าเดิมๆ ต่อเนื่องทุกวันโดยเลี่ยงไม่ได้ สะสมความผิดปกติให้มากขึ้น ที่น่าเป็นห่วงอย่างมากคือ ความเสื่อมของระบบกระดูกกล้ามเนื้อ ในคนยุคปัจจุบัน มักพบตั้งแต่อายุ 20 – 30 ซึ่งยังไม่ถึงเกณฑ์ความเสื่อม และนั่นอาจเป็นเพราะการใช้งานของร่างกายที่มากเกินไป คนทำงานเมื่อนั่งไปเรื่อยๆ จิตใจจะจดจ่ออยู่กับงาน จนลืมร่างกายตนเอง ส่วนใหญ่คอจะก้มไปด้านหน้า หลังจะงุ้มลง คางก็ยื่นไปด้านหน้าเรื่อยๆ ลำตัวแทบติดกับโต๊ะทำงาน ท่านทราบหรือไม่ว่าการที่คอ คางยื่นไปด้านหน้า หลังงุ้มมาก จะทำให้ข้อต่อกระดูกคอต้องรับน้ำหนักมากเป็นหลายสิบเท่าตัว จากภาพจะเห็นได้ว่าจากปกติที่ไม่ต้องรับน้ำหนักเลย เมื่อผิดท่า กระดูกคอ ต้องรับน้ำหนัก 20 – 40 ปอนด์ และนั่นเองเป็นที่มาของความเสื่อมที่เร็วกว่าปกติและเป็นที่มาของโรคต่างๆ ที่จะสร้างความทรมานให้กับร่างกาย
การนอน
ถือเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายจะผ่อนคลายทุกส่วน ทั้งกล้ามเนื้อ ข้อต่อ พร้อมถูกปรับไปตามท่าทางของเรา จึงเป็นเวลาที่เสียโครงสร้างร่างกายได้มากและยาวนานที่สุด เมื่อเราอยู่ในท่าทางที่ผิดตลอดระยะเวลานอนหลับในหลายๆชั่วโมง ทำให้กระดูกกล้ามเนื้อเราบิดเบี้ยวได้ง่ายกว่าปกติ ท่าทางการนอนจึงมีผลมากกับโครงสร้างร่างกาย ทำไมเรานอนเยอะ แต่ยังรู้สึกเพลียเหมือนง่วงตลอดเวลา หาวตลอดวัน ไม่สดชื่น ตื่นมาก็รู้สึกปวดเมื่อยคอ หลัง บ่า ร่างกายไม่คล่องตัว อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนว่าโครงสร้างร่างกายผิดปกติ และหากสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ อาจส่งผลให้เป็นโรคภัยไข้เจ็บ ได้ในอนาคต