การได้เกิดเป็นมนุษย์เป็นสิ่งวิเศษยิ่ง แต่การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจนั้นเป็นสิ่งที่วิเศษมากกว่า แต่ในสังคมปัจจุบัน ผู้ที่มีทุกสิ่งพร้อมทางร่างกายมักจะไม่ค่อยระวัง และไม่ดูแลกายนี้ให้ดีพอ มักใช้ร่างกายจนทรุดโทรมเสื่อมถอย เร็วกว่าวัยอันควร โดยลืมไปว่าเราต้องอยู่กับกายนี้จนกว่าชีวิตจะดับไป ดังนั้นจึงควรดูแลรักษาให้ดี ใช้เขาหาเงินเป็นหลักล้านแต่ดูแลหลักร้อย จะให้อะไรดีๆหรือป้องกันก่อนที่เขาจะเป็น ก็เสียดาย เพราะคิดว่ายังไม่เป็นอะไร ต้องรอให้ถึงขั้นเป็นโรค ถึงขั้นควบคุมอะไรไม่ได้ แล้วค่อยมาคร่ำครวญภายหลัง ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น คงไม่สามารถเรียกร้องทุกสิ่งให้กลับมาเหมือนเดิมได้ คนที่เกิดมากับความพิการย่อมรู้ดีว่าการมีร่างกายที่สมบูรณ์เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดแล้ว แต่คนที่เกิดมาสมบูรณ์พร้อม กลับไม่เห็นคุณค่า ยิ่งสังคมในยุคนี้ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด จึงใช้ร่างกายจนลืมไปว่าเขาต้องมีความสมดุล ต้องแข็งแรง ในการดำเนินชีวิตนี้ท่านจึงจะใช้เขาได้ตลอดโดยไม่ต้องเสียเวลา เสียเงินทองมากมาย เพื่อรักษาเขาในภายหลัง
อัมพาต เป็นบทสรุปของคนที่ใช้ร่างกายตัวเองมากเกินไป โดยไม่ดูแล โรคอัมพาตเป็นความทรมานอย่างยิ่ง ท่านลองคิดดูว่าร่างกายที่เคยพร้อมสรรสร้างทุกสิ่ง ทำกิจวัตรต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ทำงานหาเงิน เดินเหินคล่องแคล่ว ไม่ต้องพึ่งพาใคร แต่วันหนึ่งกลับทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้เลย คิดสิ่งใดก็ไม่สามารถทำได้เหมือนแต่ก่อน กลายเป็นภาระของคนอื่น ทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสทั้งทางกายและใจ ยากที่จะแก้ไขสิ่งใดได้ มากกว่ายื้อชีวิตให้อยู่ได้นานขึ้น จะรักษาฟื้นฟูกันมากขนาดไหนก็คงได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถกลับมาได้ปกติสมบูรณ์ดังเดิม เงินที่ใช้ร่างกายนี้ทุ่มเทหามามากมาย ก็ไม่อาจซื้อร่างกายและจิตใจอันเดิมกลับมาได้ ต้องจมอยู่กับทุกข์ที่ได้แต่คร่ำครวญว่าไม่น่าละเลยตัวเองเลย
สิ่งสำคัญที่สุดของชีวิตนี้ก็คือ ทำอย่างไรล่ะให้ร่างกายนี้ดีจนแก่เฒ่า ไม่ต้องทุกข์ทรมานมากในบั้นปลายชีวิต ไม่ต้องเป็นภาระใคร มีคุณภาพชีวิตที่ดีจนถึงลมหายใจสุดท้าย ยิ่งสังคมในปัจจุบันนี้ มีแนวโน้มเป็นสังคมแบบพึ่งตนเอง ดังนั้นไม่ว่าท่านจะเป็นผู้ที่รักการใช้ชีวิตโสดไม่มีภาระใดๆ หรือท่านที่มีครอบครัวมีลูกหลาน แต่ก็ไม่รู้ว่าลูกหลานจะดูแลเราได้หรือไม่? จึงควรต้องหาวิธีดูแลร่างกายให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ โดยเฉพาะอัมพาต เป็นโรคที่ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้เองเลย วันนี้คุณใช้สมอง ใช้ร่างกายบริหารหาเงินได้เต็มที่ แต่อย่าลืมว่าร่างกายนี้ มีความเสื่อมเป็นธรรมดา ทำอย่างไร?ให้เสื่อมลงตามเวลาอันควร “แก่อย่างมีคุณค่า ชราอย่างมีความสุข” หากท่านเป็นคนหนึ่งที่สนุกกับการทำงานจนลืมหันกลับมาดูแลตัวเอง วันนี้ท่านควรเริ่มดูแลร่างกาย ให้คุ้มกับการที่ใช้ร่างกายนี้แหละหาเงินได้มามากมาย
เมื่อร่างกายมีความผิดปกติแม้เพียงน้อยนิด กลไกของร่างกายจะหาวิธีการเพื่อเป็นสัญญานเตือนภัยบอกคุณ ว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว ในวัยคนทำงาน มักจดจ่อกับการทำงานมาก จนไม่ได้ยินเสียงของร่างกายเลย ว่าเขากำลังบอกอะไรคุณอยู่ คุณจะได้ยินเสียงเขาอีกทีก็เมื่อร่างกายแทบจะไม่ไหวแล้ว ลองดูซิว่าสัญญาณเตือนภัยของร่างกายคุณ กำลังบอกคุณอยู่หรือเปล่า? คุณเคยมีสัญญาณเหล่านี้หรือไม่?
1. ปวดบางจุดในร่างกาย จากปวดเมื่อยธรรมดา ก็ต้องเริ่มบรรเทาด้วยการทานยา ไปนวด ฯลฯ ทำแล้วอาการดีขึ้นก็จริง แต่เพียงวันสองวันอาการก็กลับมาเป็นอีก เช่น ปวดคอ ปวดบ่า ปวดสะบัก ปวดหลัง เป็นต้น
2. อาการดังกล่าวเริ่มรบกวนการทำงานของคุณ เช่น นั่งทำงานอยู่สักพัก อาการที่เป็นทำให้คุณต้องหยุดจากการทำงาน ต้องลุกเปลี่ยนท่า หรือจัดการกับอาการนั้นก่อน แล้วคุณค่อยทำงานต่อได้
3. คุณเริ่มรู้สึ่กว่าอาการปวด รุนแรงมากกว่าช่วงก่อน มากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องไปพบแพทย์ ได้ยาคลายกล้ามเนื้อ/ ยาแก้อักเสบมาทาน หรือคุณต้องไปนวดเกือบทุกวัน
4. คุณเริ่มรู้สึกว่าอาการที่เป็นเริ่มลุกลามไปบริเวณอื่น เช่น จากปวดบ่าหรือปวดคอ ปวดสะบักก็เริ่มมีอาการร้าวขึ้นศีรษะทำให้ปวดศีรษะ คล้ายเป็นไมเกรน ตากระตุก ปวดกระบอกตา ปวดท้ายทอยร้าวขึ้นศีรษะ หรืออาจมีปวดร้าว-ชาลงตามแขน ขา หรือทั้งซีกของลำตัว
5. คุณเริ่มสังเกตุเห็นว่าร่างกายคุณไม่เหมือนก่อน เปลี่ยนไปในหลายๆ เรื่อง เช่น น้ำหนักเพิ่มขึ้นทั้งที่ทานน้อย ผิวพรรณหมอง หน้าตาไม่สดใส เหนื่อยง่าย หายใจไม่อิ่ม บางทีปวดแปล๊บในทรวงอก ความทนทานของร่างกายน้อยลง หงุดหงิดง่าย คิดอะไรไม่ค่อยออก นอนมากแต่ก็ยังง่วง รู้สึกเพลียๆอยู่ตลอด ทำงานด้อยประสิทธิภาพ ฯลฯ
6. คุณเริ่มหาสถานที่รักษาตัวเองตามอาการต่างๆที่ร่างกายแสดง แต่จะหายไปบางอาการ อาการอื่นๆยังคงมีอยู่ ไม่ใช่หายไปทั้งหมด
7. ทุกอย่างที่คุณรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย ทำให้คุณเป็นกังวล ต้องตรวจเช็คร่างกาย แต่ก็ไม่พบว่าเป็นโรคอะไรเลย คุณอาจถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคเครียด แล้วได้ยามาทานเพื่อให้ผ่อนคลาย ฯลฯ
คุณตอบว่าใช่ถึงข้อไหนแล้ว เพียง 4 ใน 7 ข้อที่คุณพยักหน้ารับ กับอาการต่างๆที่เป็น แสดงว่าคุณเป็นคนหนึ่งที่เสี่ยงแล้วกับโรคภัยไข้เจ็บที่จะตามมา โดยเฉพาะอัมพาต ดังนั้นหากอาการเหล่านี้ แม้จะเป็นเพียงเล็กน้อย ก็ไม่ควรรีรอที่จะดูแลให้ถูกต้อง ควรแก้ปัญหาให้ตรงต้นเหตุของอาการที่เป็น รีบปรึกษาและได้รับการรักษาให้ถูกทาง อย่ามัวเสียเวลากับการรักษาเพื่อบรรเทาอาการ ควรดูแลรักษากับผู้เชี่ยวชาญเรื่องระบบโครงสร้างร่างกายจะดีกว่า
อัมพาต เป็นโรคที่เกิดจากความไม่สมดุลของระบบในร่างกาย เป็นจากความบกพร่องในหลายๆระบบที่เกิดต่อเนื่องกัน เริ่มตั้งแต่การทานอาหาร ที่ทานตามความอยากของใจ ไม่ได้ทานตามความต้องการของร่างกาย อยู่ในท่าทางที่ผิด ใช้ร่างกายหนักเกิน จึงทำให้เป็นโรคอ้วน โรคกล้ามเนื้อ กระดูกและข้อ มีความบกพร่องของระบบเผาผลาญในร่างกาย มีการสะสมไขมันมากโดยเริ่มพอกพูนในหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนของเลือดไม่ดี ยิ่งหากระบบกระดูกกล้ามเนื้อไม่สมดุลด้วยแล้ว ความยืดหยุ่นของหลอดเลือดก็ยิ่งน้อยลงด้วย เพราะหลอดเลือดผ่านกล้ามเนื้อชั้นลึกในร่างกาย ซึ่งทั้งหมดเกิดจากความไม่สมดุลของโครงสร้างร่างกาย หัวใจต้องทำงานหนักเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงให้ได้ทั่วร่างกาย (อาจทำให้เป็นโรคหัวใจ) แรงดันเพื่อดันเลือดไปเลี้ยงก็ต้องมากขึ้น(อาจเสี่ยงเป็นโรคความดัน) หลอดเลือดไม่สะอาดจากไขมันที่พอกพูนอยู่ (ทำให้เป็นคลอเรสเตอรอลสูง) ก้อนไขมันนี้หากเกิดหลุดลอยไปอุดตันที่หลอดเลือดเล็กๆในอวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจหรือสมอง ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ และถ้าไปอุดตันเพียงแขนงหลอดเลือดฝอยที่สุดในสมอง อาจทำให้เป็นโรคซึ่งไม่มีใครปราถนานั่นคืออัมพาตได้ทันที
ท่านคงพอมองภาพออกว่าเพียงปัญหาเล็กน้อยจากระบบโครงสร้างร่างกาย ที่ขาดการดูแลที่ถูกต้อง ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งร่างกาย ระบบต่างๆ ทำงานบกพร่องไปหมด เพราะโครงสร้างร่างกายเสมือนเสาหลัก ที่เป็นส่วนส่งเสริมให้ทุกระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรปล่อยปะละเลยกับอาการต่าง ๆที่ท่านคิดว่าเล็กน้อย ให้พอกพูนเป็นปัญหาใหญ่ อัมพาตเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาดได้100% แต่เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ 100% หากคุณยังรักที่จะทำงาน สนุกกับการใช้ความคิดอย่างอิสระ คุณก็ควรจะต้องเริ่มต้นหันกลับมาป้องกันตัวเองจากโรคอันน่ากลัวนี้ก่อน เพราะนอกจากจะทำให้คุณห่างไกลจากอัมพาตแล้ว ยังป้องกันการเกิดโรคอีกตั้งหลายโรค เพียงแค่ว่า ใจคุณพร้อมและกล้าพอหรือเปล่าที่จะปรับตัวเองเพื่อให้เป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรง นอกจากสุขภาพกายแล้ว ยังได้สุขภาพใจด้วย เพราะการมีสุขภาพที่แข็งแรงนั้น ต้องมีความสมดุลทั้งกายและใจเพราะ จิตใจที่แจ่มใสย่อมอยู่ในร่างกายที่แข็งแรง